แบงก์แห่หั่นดอกเบี้ยกู้ MLR นำโดย SCB ลด 0.15 % มีผลไปแล้ว 5 เม.ย., KBANK ลด 0.25% มีผล 7 เม.ย., KTB-BBL ลด 0.25% มีผล 6 เม.ย. ส่วน TMB ลดทั้ง MLR และ MRR ลง 0.25% มีผล 7 เม.ย. ด้านธปท.ระบุ แบงก์ใหญ่ลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระให้ SMEs ขณะที่รมว.คลัง ปัดเป็นสัญญาณเศรษฐกิจย่ำแย่ ฟากโบรกฯ เตรียมหั่นกำไร-ราคาเป้าหมายหุ้นกลุ่มแบงก์หวั่นกำไรปีนี้หายไป 5-7% มองกระทบต่อหุ้นระยะ 1 เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (5 เม.ย. 59) เคลื่อนไหวชัดเจนในแดนลบตลอดเวลาทำการกระทั่งปิดทำการที่ระดับ 1,373.59 จุด ลดลง -26.68 จุด หรือ -1.91% มูลค่าการซื้อขาย 52,966.26 ล้านบาทโดยมีหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์กดดันมากที่สุดจากประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฝั่งเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MRR) ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มล้วนปรับลงหนักได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ปิดที่ระดับ 131.00 บาท ลดลง -7.50 บาท ราคาหุ้นที่ลดลงมีผลต่อดัชนี -2.6706 จุด, KBANK ปิดที่ระดับ 160.00 บาท ลดลง -8.00 บาท ราคาหุ้นที่ลดลงมีผลต่อดัชนี -2.0084 จุด และ BBL ปิดที่ระดับ 167.50 บาท ลดลง -10.00 บาท ราคาหุ้นที่ลดลงมีผลต่อดัชนี -2.0024 จุด
**SCB ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.15 %
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่าจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปผ่านมาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ส่งออกมากระตุ้นในหลายรูปแบบเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเกิดการขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ โดยในส่วนของนโยบายทางการเงินซึ่งธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบเป็นกลไกหลักทางเศรษฐกิจและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เกิดความคล่องตัวและสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
ธนาคารไทยพาณิชย์มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมแบ่งเบาภาระทางการเงินของลูกค้า จึงได้ตัดสินใจเป็นผู้นำด้วยการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate หรือ MLR) ลงร้อยละ 0.15 ต่อปี เพื่อให้เศรษฐกิจและธุรกิจของลูกค้าสามารถเดินหน้า และยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย MLR จะมีผลตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2559 เป็นต้นไป
โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ร้อยละ 6.375 ต่อปี
**KBANK ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25%
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate หรือ MLR) ลง 0.25% เป็น 6.25% สนองตอบนโยบายของภาครัฐในการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีซึ่งถือเป็นกำลังขับเคลื่อนที่สำคัญของประเทศ
ปัจจุบันจากรายงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เอสเอ็มอีเป็นกำลังขับเคลื่อน GDP ของประเทศประมาณ 40% ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูงและสำคัญต่อการเติบโตของประเทศเป็นอย่างมาก
โดยทำการปรับอัตราดอกเบี้ย MLR ลดลง 0.25% เหลือ 6.25% มีผลตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2559 นี้
**KTB ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25%
นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า เพื่อร่วมขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ตลอดจนช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยลดต้นทุนทางธุรกิจ และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น ธนาคารได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25% ต่อปี จากเดิมอัตรา 6.525% ต่อปีเหลืออัตรา 6.275% ต่อปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 6 เมษายนนี้เป็นต้นไป
**BBL ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25%
รายงานข่าวจากธนาคารกรุงเทพ (BBL) รายงานว่า ธนาคารได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25% เหลือ 6.25% มีผลตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2559 เป็นต้นไป
**TMB ลดดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง MLR และ MRR ลง 0.25%
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดเผยว่า ธนาคารฯ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มแอลอาร์ (MLR) และเอ็มอาร์อาร์ (MRR) 0.25% เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจเอสเอ็มอี โดยมีผลตั้งแต่วันพฤหัสบดี ที่ 7 เมษายน เป็นต้นไป
“การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของทีเอ็มบีนี้ จะช่วยให้ต้นทุนดอกเบี้ยของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีลดลง ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการ นับเป็นการสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจเอสเอ็มอีให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มแอลอาร์ของธนาคาร จะปรับลดลง จากเดิม 7.025% เป็น 6.775% และเอ็มอาร์อาร์ลดลง จาก 8.025% เป็น 7.775%”
**ธปท.ระบุ แบงก์ใหญ่ลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระให้ SMEs
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า การที่ ธพ. บางแห่งลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเป็นสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์กับผู้กู้โดยเฉพาะ SMEs ช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้ได้ ซึ่งเป็นผลจากสภาพคล่องส่วนเกินที่มีอยู่สูงในระบบการเงิน และสอดคล้องกับนโยบายการเงินปัจจุบันที่ยังคงผ่อนคลายอยู่ในภาวะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง และเชื่อว่า ธพ. อื่น ๆ น่าจะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงด้วย ตามสภาพการแข่งขัน
**รมว.คลัง ปัดแบงก์พาณิชย์ลดดบ.ส่งสัญญาณ ศก.แย่
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การที่ธนาคารพาณิชย์บางแห่งเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงนั้น ไม่ใช่เป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่เรื่องนี้เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งถือว่าธนาคารพาณิชย์ได้เข้ามาช่วยดูแลสังคม และเปิดโอกาสให้มีการเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น
**โบรกฯเตรียมหั่นกำไร-เป้าหมายหุ้นกลุ่มแบงก์
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราหลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยฯ เตรียมปรับประมาณการกำไรของหุ้นกลุ่มแบงก์ลง หลังจากที่ธนาคารพาณิชย์มีการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง เบื้องต้นประเมินว่ากระทบต่อกำไรของธนาคารปีนี้ลดลง 5-7%
นอกจากนี้ จะมีการปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้นธนาคารลงด้วยเช่นกัน โดยหุ้นธนาคารขนาดใหญ่จะมีการปรับลดลงมากที่สุด เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนรายได้ที่มาจากดอกเบี้ยมีมากกว่าธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งการปรับลดครั้งนี้จะมีผลต่อรายได้ของธนาคารทันที
"โดยส่วนตัวเชื่อว่าแบงก์น่าจะมีการหารือกับทางภาครัฐมาก่อน เพราะตอนนี้สภาพคล่องมันล้น ทำให้แบงก์ต้องปรับดอกเบี้ยลง ทำให้กำไรแบงก์ปีนี้ลดลงอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มาก แต่อย่าลืมว่ารายได้ของแบงก์ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ย โดยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่ได้เอื้อต่อการเติบโตสินเชื่อ ทำให้แบงก์ต้องสร้างแรงจูงใจเพื่อทำให้สินเชื่อมีการขยายตัว" นายธนเดช กล่าว
**มองกระทบต่อหุ้นระยะสั้น 1 เดือน
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าการที่ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เนื่องจากสภาพคล่องในระบบมีจำนวนมาก ขณะที่ความต้องการสินเชื่อลดลง ทำให้ธนาคารพาณิชย์ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อต้องการให้สินเชื่อขยายตัวในภาวะเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่มแบงก์จะได้รับผลกระทบในระยะสั้นประมาณ 1 เดือน ประกอบกับผลประกอบการไตรมาส 1 ของธนาคารแม้ว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากการที่ธนาคารตั้งสำรองลดลง ไม่ได้เกิดจากผลการดำเนินงาน
"นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยของธนาคาพาณิชย์ในครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณอย่างมีนัยไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ว่าถึงเวลาที่ต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งหน้า เพราะว่าขณะนี้สภาพคล่องล้นเกินไป และเศรษฐกิจยังไม่มีการฟื้นตัว ซึ่งหากไม่รีบทำตอนนี้จะมีผลกระทบในอนาคต หากเฟดมีการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป "นายกวี กล่าว
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าหุ้นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ยังมีความน่าสนใจเข้าลงทุน โดยเฉพาะ BBL SCB และ KTB
ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากทั้งในและต่างประเทศส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด จากก่อนหน้านี้ทางธปท. จะเป็นคนส่งสัญญาณในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าผลกระทบต่อราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ จะเป็นในระยะสั้น และเชื่อว่าผลประกอบการของธนาคารจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไปหากรัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
"แบงก์มองเห็นแล้วว่าเศรษฐกิจไม่ดี สินเชื่อก็ไม่เติบโต ทำให้แบงก์ลดดอกเบี้ย ซึ่งถือว่าเป็นการเซอร์ไพร์ส และก็รู้ว่าการลดดอกเบี้ยจะส่งผลต่อกำไรของแบงก์ให้ลดลง ซึ่งเชื่อว่าการส่งสัญญาณในครั้งนี้ทางแบงก์ชาติอาจจะมีการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งหน้า เพื่อพยุงเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัว" นายกรภัทร กล่าว
Cr: efinancethai
***เตรียมหั่นกำไร-ราคาเป้าหมายหุ้นกลุ่มแบงก์ หลังแห่ลดดอกเบี้ยกู้ MLR***
แบงก์แห่หั่นดอกเบี้ยกู้ MLR นำโดย SCB ลด 0.15 % มีผลไปแล้ว 5 เม.ย., KBANK ลด 0.25% มีผล 7 เม.ย., KTB-BBL ลด 0.25% มีผล 6 เม.ย. ส่วน TMB ลดทั้ง MLR และ MRR ลง 0.25% มีผล 7 เม.ย. ด้านธปท.ระบุ แบงก์ใหญ่ลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระให้ SMEs ขณะที่รมว.คลัง ปัดเป็นสัญญาณเศรษฐกิจย่ำแย่ ฟากโบรกฯ เตรียมหั่นกำไร-ราคาเป้าหมายหุ้นกลุ่มแบงก์หวั่นกำไรปีนี้หายไป 5-7% มองกระทบต่อหุ้นระยะ 1 เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานภาวะดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (5 เม.ย. 59) เคลื่อนไหวชัดเจนในแดนลบตลอดเวลาทำการกระทั่งปิดทำการที่ระดับ 1,373.59 จุด ลดลง -26.68 จุด หรือ -1.91% มูลค่าการซื้อขาย 52,966.26 ล้านบาทโดยมีหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์กดดันมากที่สุดจากประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยฝั่งเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี (MRR) ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มล้วนปรับลงหนักได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB ปิดที่ระดับ 131.00 บาท ลดลง -7.50 บาท ราคาหุ้นที่ลดลงมีผลต่อดัชนี -2.6706 จุด, KBANK ปิดที่ระดับ 160.00 บาท ลดลง -8.00 บาท ราคาหุ้นที่ลดลงมีผลต่อดัชนี -2.0084 จุด และ BBL ปิดที่ระดับ 167.50 บาท ลดลง -10.00 บาท ราคาหุ้นที่ลดลงมีผลต่อดัชนี -2.0024 จุด
**SCB ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.15 %
นายอาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) กล่าวว่าจากสภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปผ่านมาตรการทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้ส่งออกมากระตุ้นในหลายรูปแบบเป็นระยะๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจโดยรวมของประเทศเกิดการขับเคลื่อนอย่างเต็มที่ โดยในส่วนของนโยบายทางการเงินซึ่งธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบเป็นกลไกหลักทางเศรษฐกิจและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เกิดความคล่องตัวและสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง
ธนาคารไทยพาณิชย์มีความมุ่งมั่นที่จะช่วยเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมแบ่งเบาภาระทางการเงินของลูกค้า จึงได้ตัดสินใจเป็นผู้นำด้วยการประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate หรือ MLR) ลงร้อยละ 0.15 ต่อปี เพื่อให้เศรษฐกิจและธุรกิจของลูกค้าสามารถเดินหน้า และยังเป็นการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ทั้งนี้ การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย MLR จะมีผลตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน 2559 เป็นต้นไป
โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ย MLR อยู่ที่ร้อยละ 6.375 ต่อปี
**KBANK ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25%
นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (Minimum Loan Rate หรือ MLR) ลง 0.25% เป็น 6.25% สนองตอบนโยบายของภาครัฐในการช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีซึ่งถือเป็นกำลังขับเคลื่อนที่สำคัญของประเทศ
ปัจจุบันจากรายงานของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม เอสเอ็มอีเป็นกำลังขับเคลื่อน GDP ของประเทศประมาณ 40% ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่สูงและสำคัญต่อการเติบโตของประเทศเป็นอย่างมาก
โดยทำการปรับอัตราดอกเบี้ย MLR ลดลง 0.25% เหลือ 6.25% มีผลตั้งแต่วันที่ 7 เมษายน 2559 นี้
**KTB ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25%
นายวรภัค ธันยาวงษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผยว่า เพื่อร่วมขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ตลอดจนช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยลดต้นทุนทางธุรกิจ และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น ธนาคารได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25% ต่อปี จากเดิมอัตรา 6.525% ต่อปีเหลืออัตรา 6.275% ต่อปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 6 เมษายนนี้เป็นต้นไป
**BBL ลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25%
รายงานข่าวจากธนาคารกรุงเทพ (BBL) รายงานว่า ธนาคารได้ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR ลง 0.25% เหลือ 6.25% มีผลตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน 2559 เป็นต้นไป
**TMB ลดดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง MLR และ MRR ลง 0.25%
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดเผยว่า ธนาคารฯ ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มแอลอาร์ (MLR) และเอ็มอาร์อาร์ (MRR) 0.25% เพื่อสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจเอสเอ็มอี โดยมีผลตั้งแต่วันพฤหัสบดี ที่ 7 เมษายน เป็นต้นไป
“การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของทีเอ็มบีนี้ จะช่วยให้ต้นทุนดอกเบี้ยของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีลดลง ช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ประกอบการ นับเป็นการสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจเอสเอ็มอีให้เดินหน้าต่อไปได้ โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เอ็มแอลอาร์ของธนาคาร จะปรับลดลง จากเดิม 7.025% เป็น 6.775% และเอ็มอาร์อาร์ลดลง จาก 8.025% เป็น 7.775%”
**ธปท.ระบุ แบงก์ใหญ่ลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระให้ SMEs
นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า การที่ ธพ. บางแห่งลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงเป็นสิ่งที่ดี เป็นประโยชน์กับผู้กู้โดยเฉพาะ SMEs ช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้กับลูกหนี้ได้ ซึ่งเป็นผลจากสภาพคล่องส่วนเกินที่มีอยู่สูงในระบบการเงิน และสอดคล้องกับนโยบายการเงินปัจจุบันที่ยังคงผ่อนคลายอยู่ในภาวะที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยง และเชื่อว่า ธพ. อื่น ๆ น่าจะทยอยปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงด้วย ตามสภาพการแข่งขัน
**รมว.คลัง ปัดแบงก์พาณิชย์ลดดบ.ส่งสัญญาณ ศก.แย่
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การที่ธนาคารพาณิชย์บางแห่งเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลงนั้น ไม่ใช่เป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่เรื่องนี้เป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งถือว่าธนาคารพาณิชย์ได้เข้ามาช่วยดูแลสังคม และเปิดโอกาสให้มีการเข้าถึงสินเชื่อได้มากขึ้น
**โบรกฯเตรียมหั่นกำไร-เป้าหมายหุ้นกลุ่มแบงก์
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราหลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี(ประเทศไทย) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยฯ เตรียมปรับประมาณการกำไรของหุ้นกลุ่มแบงก์ลง หลังจากที่ธนาคารพาณิชย์มีการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง เบื้องต้นประเมินว่ากระทบต่อกำไรของธนาคารปีนี้ลดลง 5-7%
นอกจากนี้ จะมีการปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้นธนาคารลงด้วยเช่นกัน โดยหุ้นธนาคารขนาดใหญ่จะมีการปรับลดลงมากที่สุด เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนรายได้ที่มาจากดอกเบี้ยมีมากกว่าธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งการปรับลดครั้งนี้จะมีผลต่อรายได้ของธนาคารทันที
"โดยส่วนตัวเชื่อว่าแบงก์น่าจะมีการหารือกับทางภาครัฐมาก่อน เพราะตอนนี้สภาพคล่องมันล้น ทำให้แบงก์ต้องปรับดอกเบี้ยลง ทำให้กำไรแบงก์ปีนี้ลดลงอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าอาจจะไม่มาก แต่อย่าลืมว่ารายได้ของแบงก์ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ย โดยภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันไม่ได้เอื้อต่อการเติบโตสินเชื่อ ทำให้แบงก์ต้องสร้างแรงจูงใจเพื่อทำให้สินเชื่อมีการขยายตัว" นายธนเดช กล่าว
**มองกระทบต่อหุ้นระยะสั้น 1 เดือน
นายกวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย เปิดเผยว่า ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าการที่ธนาคารพาณิชย์ปรับลดดอกเบี้ยเงินกู้ MLR เนื่องจากสภาพคล่องในระบบมีจำนวนมาก ขณะที่ความต้องการสินเชื่อลดลง ทำให้ธนาคารพาณิชย์ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อต้องการให้สินเชื่อขยายตัวในภาวะเศรษฐกิจถดถอย
อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่มแบงก์จะได้รับผลกระทบในระยะสั้นประมาณ 1 เดือน ประกอบกับผลประกอบการไตรมาส 1 ของธนาคารแม้ว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า แต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากการที่ธนาคารตั้งสำรองลดลง ไม่ได้เกิดจากผลการดำเนินงาน
"นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยของธนาคาพาณิชย์ในครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณอย่างมีนัยไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ว่าถึงเวลาที่ต้องลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งหน้า เพราะว่าขณะนี้สภาพคล่องล้นเกินไป และเศรษฐกิจยังไม่มีการฟื้นตัว ซึ่งหากไม่รีบทำตอนนี้จะมีผลกระทบในอนาคต หากเฟดมีการขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไป "นายกวี กล่าว
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าหุ้นในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ยังมีความน่าสนใจเข้าลงทุน โดยเฉพาะ BBL SCB และ KTB
ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน กล่าวว่า จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากทั้งในและต่างประเทศส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งถือว่าเป็นการตัดสินใจสร้างความประหลาดใจให้กับตลาด จากก่อนหน้านี้ทางธปท. จะเป็นคนส่งสัญญาณในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยฯ คาดว่าผลกระทบต่อราคาหุ้นกลุ่มแบงก์ จะเป็นในระยะสั้น และเชื่อว่าผลประกอบการของธนาคารจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไปหากรัฐบาลมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อเรียกความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
"แบงก์มองเห็นแล้วว่าเศรษฐกิจไม่ดี สินเชื่อก็ไม่เติบโต ทำให้แบงก์ลดดอกเบี้ย ซึ่งถือว่าเป็นการเซอร์ไพร์ส และก็รู้ว่าการลดดอกเบี้ยจะส่งผลต่อกำไรของแบงก์ให้ลดลง ซึ่งเชื่อว่าการส่งสัญญาณในครั้งนี้ทางแบงก์ชาติอาจจะมีการพิจารณาลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุมครั้งหน้า เพื่อพยุงเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัว" นายกรภัทร กล่าว
Cr: efinancethai